ก่อนที่เราจะไปอธิบายถึงเทคนิคและวิธีการเล่น รวมทั้งเคล็ดลับต่างๆ ในเกม ROV ในขั้นที่จะ Advanced ไปกว่านี้ ในบทความนี้ ผมก็อยากจะมาอธิบายเกี่ยวกับ ศัพท์ ROV ที่ต้องรู้ กันสักหน่อย เอาแค่ 3 คำที่ผมมักจะใช้บ่อยๆ ในหลายๆ บทความที่ผ่านมา ซึ่งถ้าเป็นผู้เล่นที่เล่นมานาน ก็คงจะพอเข้าใจ หรือ ถ้าเคยมีประสบการณ์การเล่นเกมประเภท MOBA มาก่อน ก็จะเข้าใจความหมายของคำศัพท์เหล่านี้ แต่ถ้าเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ที่เพิ่งจะเข้ามาสู่วงการเกม MOBA ก็อาจจะสงสัย และไม่เข้าใจเกี่ยวกับคำศัพท์เหล่านี้แน่นอน ดังนั้น เพื่อความกระจ่าง และเป็นพื้นฐาน ความเข้าใจในแบบเดียวกัน สำหรับการอ่านบทความต่อๆ ไป วันนี้ ผมก็จะมาขยายความเกี่ยวกับ ความหมายของคำศัพท์เหล่านี้ ให้ได้เข้าใจกันซะก่อนครับ
ศัพท์ ROV ที่ต้องรู้ ในเกม ROV : Burst Damage, DPS และ Sustain
คำศัพท์ทั้งสามคำนี้ เป็นการอธิบายถึงลักษณะการใช้สกิล หรือ จุดเด่นในการทำดาเมจของฮีโร่ในเกม ROV ซึ่งฮีโร่แต่ละตัวก็จะมีจุดเด่นในเรื่องการโจมตีที่แตกต่างกันไป แต่หลักๆ แล้ว จะอยู่ใน 3 ประเภทนี้ ที่เป็นคำศัพท์ที่เราจะมาอธิบายกันแน่นอนครับ
Burst Damage
คำนี้ เรามักจะเห็นกันบ่อย ถ้าให้แปลตรงๆ ก็คือ ดาเมจที่รุนแรงมากๆ ต่อครั้ง หรือ ต่อ Hit ที่โจมตีออกไป ประเภท ตูมเดียวไส้แตก หรือ ตูมเดียวหาย อะไรแบบนี้ ซึ่งฮีโร่ในเกม ROV ที่สามารถทำดาเมจประเภท Burst Damage แบบนี้ได้ ก็มักจะเป็นฮีโร่ที่อยู่ในตำแหน่ง แอสซาซิน เป็นหลัก พวกนี้จะมีดาเมจที่รุนแรงมากๆ แบบตูมเดียวไส้แตก หรือ คอมโบเดียว ศัตรูตายคาที่แน่นอน ยกตัวอย่างเช่น Raz, Kriknak, Quillen, Zuka พวกนี้ เป็นตัวอย่างชั้นดี ในการแสดงออกให้เห็นเลยว่า เป็นฮีโร่ประเภท Burst Damage ถ้าใครโดนคอมโบของฮีโร่พวกนี้เข้าไป ไส้แตกแน่นอนครับ แม้แต่แท็งค์ ก็ยังต้องไส้แตก ส่วนพวกตัวบางๆ อย่าง เมจ กับ แครี่ ตายแน่นอนครับ
ซึ่งนั่นแหละครับ คือ หน้าที่ของ ฮีโร่ที่เป็นสาย Burst Damage คือ เป็นพวกตัวล้วงแนวหลัง หรือ พวกที่เข้ามาปิดงาน กล่าวคือ มันต้องเข้ามาคอมโบชุดเดียว ต้องฆ่าศัตรูให้ได้ แนวทางการเล่นของเจ้าพวกฮีโร่ Burst Damage เหล่านี้ จึงต้องเน้นการเข้าทีหลัง ให้เพื่อนเปิดไฟต์ไปก่อน หรือ ใช้การแอบซุ่มในพุ่มไม้ เพื่อออกมาโจมตีใส่ศัตรูแบบไม่ทันตั้งตัว แปลว่า จะเข้าไปบวก หรือ คอมโบสกิลตอนไหน ต้องดูให้ดีๆ ถ้าเข้าไปแล้ว ดูท่าจะฆ่าไม่ได้ ก็ไม่ควรเสี่ยง จะเข้าแต่ละครั้ง ต้องมั่นใจว่า ต้องฆ่าได้ หรือ ถ้าฆ่าไม่ได้ ก็ต้องมีสกิลเผื่อเอาไว้ให้พาตัวเองหนีออกมาได้นั่นเอง
สำหรับฮีโร่ในเกม ROV ที่มีจุดเด่นในเรื่องของการทำ Burst Damage มักจะเป็นพวกตำแหน่งที่เป็นตัวทำดาเมจหลักของทีม ได้แก่ แอสซาซิน, ไฟต์เตอร์, เมจ และแครี่บางตัวเท่านั้น
DPS
คำว่า DPS คำนี้ มีหลายคนสงสัยกันมาก คำว่า DPS มันเป็นตัวย่อมาจากคำว่า Damage per Second หรือ ดาเมจต่อวินาทีนั่นเองครับ ซึ่งหมายถึง พวกที่ทำดาเมจแต่ละครั้งเบามาก ไม่ได้แรงไส้แตกเหมือนพวก Burst Damage แต่เน้นไปที่ ความเร็วในการโจมตี หรือ มีสกิลประเภท สะสมจำนวนครั้งในการโจมตี หรือ เก็บ Stack พวกนี้ จะทำดาเมจได้รุนแรงมากขึ้น ตามระยะเวลาที่มันได้ยืนยิงฟรี กล่าวคือ ยิ่งมันได้ยืนยิงฟรีนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำดาเมจได้รุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
ถ้าจะให้ยกตัวอย่าง พวกฮีโร่ที่มีจุดเด่นในเรื่องของ DPS ให้เข้าใจง่ายๆ ก็จะเป็นพวก ไฟต์เตอร์ตีเร็ว หรือ แครี่ ได้แก่ Omen, Kil’Groth, Tel’Annas พวกนี้เป็นพวกที่ต้องการตำแหน่งยืนยิงฟรี และเวลาที่ได้ทำการโจมตี ข้อสังเกตง่ายๆ ก็คือ ฮีโร่ที่เป็นสาย DPS จะเป็นพวกฮีโร่ที่ใช้การโจมตีปกติเป็นหลัก ส่วนสกิลเอาไว้ช่วยเสริมความแรง หรือ สร้างสถานะควบคุม ยิ่งมีเวลาได้ยิงฟรี หรือ ตีฟรีมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสร้างดาเมจได้รุนแรงมากขึ้นเท่านั้น และในช่วงเลทเกม ถ้าฮีโร่พวกนี้ ได้ใส่ไอเท็มดูดเลือดเข้าไป จะยิ่งโหดมากขึ้นไปอีก
ตำแหน่งของฮีโร่ในเกม ROV ที่เป็นพวก DPS ก็มักจะเป็นฮีโร่ในตำแหน่ง แครี่ และ ไฟต์เตอร์ตีเร็ว เป็นหลักนั่นเองครับ
Sustain
ถ้าให้แปลตรงๆ ก็คือ การต้านทาน หรือ ทนได้ ซึ่งถ้าเราจะแปลให้เข้ากับเกม ROV ก็คือ พวกที่ยืนบวกได้นานๆ มีสกิลประเภท ดูดเลือด หรือ สร้างเกราะให้ตัวเอง จนแข็งแกร่งมากๆ สามารถยืนบวกกับศัตรูได้นานๆ หรือ ทนรับดาเมจได้เยอะมากๆ มีพลังชีวิตที่เยอะ ซึ่งเรามักจะเข้าใจว่า ต้องเป็นแท็งค์เพียงอย่างเดียว แต่จริงๆ แล้ว ก็มีไฟต์เตอร์หลายตัว ที่มี Sustain สูง รวมอยู่ด้วย เพื่อให้เข้าใจง่าย ฮีโร่ที่มี Sustain สูงๆ ก็ได้แก่ Thane, Baldum, Veres, Xeniel ฮีโร่พวกนี้ สามารถเข้าไปเปิดไฟต์ และยืนในไฟต์ได้นานมากๆ ถามว่า ยืนนานๆ เพื่ออะไร ก็เพื่อให้ฮีโร่ที่เป็นตัวทำดาเมจประเภท DPS ได้ยืนยิงฟรีได้นานๆ และรอทำจังหวะให้ ตัว Burst Damage ของทีมมาถึง และเข้ามาปิดงานนั่นเอง
ฮีโร่พวกนี้ เป็นตัวที่มี DPS โคตรต่ำ และดาเมจแบบ Burst Damage ก็โคตรจะเบาหวิว (ยกเว้นไฟต์เตอร์บางตัวอย่าง Veres ที่ดาเมจเยอะกว่า แต่ตัวก็ไม่หนาเท่ากับแท็งค์หรือซัพพอร์ตธรรมชาติ) ดังนั้น เราจึงไม่แปลกที่จะเห็นแท็งค์ทั้งหลาย หยิบเกราะไฟ หรือ Mantle of Ra มาใส่ เพื่อเพิ่ม DPS ให้กับตัวเองนั่นเองครับ
ความสำคัญของการเข้าใจคำศัพท์เหล่านี้ ก็คือ มันจะช่วยให้เรา ดราฟตัวมาได้เหมาะสมกับทีมนั่นเองครับ เพราะตามธรรมชาติของเกม ROV แล้ว ฮีโร่ประเภท Burst Damage จะเก่งมากๆ ในช่วงต้นเกมถึงกลางเกม ส่วนฮีโร่ประเภท DPS และ Sustain จะเก่งมากๆ ในช่วงเลทเกม ตอนที่มีไอเท็มเยอะๆ แล้ว นั่นแปลว่า ตอนที่เราดราฟตัว ต้องเลือกดราฟตัวมาให้เหมาะสมกับทีม ไม่ใช่ว่า ต้องหยิบเอาแต่ตัว Burst Damage มาหลายตัวมากๆ แต่ไม่มีตัว DPS ที่จะเก่งตอนเลทเกมเลย ซึ่งถ้าเกมเราไม่เป็นไปตามคาด โดนกดดันตั้งแต่ต้นเกม เราก็จะไม่มีตัวแบกสำหรับตอนเลทเกมเลยนะครับ เพราะพวก Burst Damage ถ้าโดนกด เกมเสียเปรียบ เงินตาม จะทำ Burst Damage ไม่ได้เลยนะครับ ดาเมจจะเบามากๆ จนฆ่าใครไม่ได้เลย
รวมทั้งยังเป็นการกำหนดแนวทางการดราฟตัว ระหว่าง ตัวฟาร์มป่า และตัวทำดาเมจที่ยืนเลนด้วย เพื่อให้เกิดความสมดุล เช่น ถ้าตัวฟาร์มป่าของเรา เป็นตัว Burst Damage ตัวยืนเลนแครี่ของเรา ก็ควรเป็นตัวทำ DPS สูงๆ เพื่อให้เกิดการทำดาเมจที่ต่อเนื่อง เวลาเข้าไฟต์ กล่าวคือ ถ้า Burst Damage แล้วไม่ตาย ก็ยังมีแนวหลังที่คอยโจมตีแบบ DPS สนับสนุนมาเรื่อยๆ จนฆ่าได้นั่นเอง หรือพวกตัว DPS อาจจะยิงใส่ศัตรูจนเลือดเหลือน้อย แต่ฆ่าไม่ได้ ก็รอให้ตัว Burst Damage ของทีมเรามาคอมโบตูมเดียวหาย ปิดงานไปเลย ก็ได้เช่นกัน
นอกจากนี้ เรายังเอามาคำนวณการดราฟตัว ให้เกิดความสอดคล้องกัน ระหว่าง ตัวทำดาเมจแบบ DPS กับตัวซัพพอร์ตที่มี Sustain ของทีม กล่าวคือ ถ้าทีมเรา มีตัวซัพพอร์ตที่มี Sustain สูงมากๆ เราก็สามารถหยิบแครี่ที่มี DPS มาเล่นทั้งยืนเลน และฟาร์มป่าไปพร้อมๆ กันได้ เพราะซัพพอร์ตของทีมเรา ยืนชนได้นาน ทำให้มีเวลาในการยิงฟรีที่เยอะแน่นอน แต่ถ้าเกิดทีมเรา ดันเลือกตัวที่มี Sustain น้อยๆ มาเป็นซัพพอร์ตของทีม คือ ยืนไฟต์ได้ไม่นาน ไม่แข็งแกร่งอะไรขนาดนั้น เราก็ต้องเลือกฮีโร่ประเภท Burst Damage มาช่วย คือ ไม่ต้องให้ซัพพอร์ตเรา ยืนค้ำนาน เข้าไปค้ำหรือเปิดไฟต์แค่แป็บเดียว เราก็รีบตามไปคอมโบเดียว Burst Damage ชุดเดียวศัตรูตายไปเลย ก็จบ เพื่อเราที่เป็นตัวซัพพอร์ต ก็ไม่ต้องตาย เดินเกมได้เร็วมากขึ้น
แถมให้อีกนิด สำหรับคำว่า Poke สกิล ที่หลายคน อาจจะสงสัยว่า มันคืออะไร การ Poke (โป๊ก) ถ้าให้แปลง่ายๆ ก็คือ การตอด หรือ การยิงฟรีด้วยสกิล ซึ่งมักจะเป็นสกิลระยะไกล ที่ทำให้ศัตรูบาดเจ็บ จากการโดนยิงฟรี ซึ่งถ้าโดน Poke บ่อยๆ ก็เจ็บหนักจนต้องกลับบ้านได้ ยกตัวอย่างเช่น การเล่น Violet ผู้เล่นต้องเน้นไปที่การ Poke ด้วยสกิล 1 ใส่ศัตรูเยอะๆ จนมันบาดเจ็บหนัก ต้องกลับบ้าน เพื่อไปเติมเลือด อะไรประมาณนี้ครับ
เห็นมั้ยครับว่า แค่เรื่อง ศัพท์ ROV ที่ต้องรู้ เพียงแค่ 3 คำนี้ ก็ทำให้เรากำหนด หรือ เข้าใจการดราฟตัว และวางแผนการเล่นในเกม ROV ได้แล้ว และยังสามารถคุยกับพวกที่เล่นระดับโปร ได้อย่างเข้าใจอีกด้วย ไม่ต้องสื่อสารอะไรกันมาก เพราะแค่มองการดราฟตัว ก็รู้แล้วว่า ต้องเลือกฮีโร่ที่มีจุดเด่นประเภทไหนมาเพื่อให้เหมาะสมกับฮีโร่ในทีม ที่ถูกเลือกไปก่อนแล้ว ซึ่งแน่นอนว่า แบบนี้จะมีประโยชน์ทั้งกับการเล่นแบบเป็นทีม และการเล่นแบบ Solo ตัวคนเดียวแน่นอน
ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ ฮีโร่ หรือ ไอเท็มต่างๆ ในเกม ROV ได้ง่ายๆ ภายในเว็บนี้ ด้วยการพิมพ์คำที่ต้องการค้นหา ที่ปุ่มแว่นขยายมุมขวาบน ใส่ชื่อ ฮีโร่ หรือ ไอเท็ม เป็นภาษาอังกฤษเหมือนในเกม ROV ได้เลย แล้วมันจะแสดงผลทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ ฮีโร่ หรือ ไอเท็มนั้นๆ ที่คุณต้องการรู้ออกมาเองครับ
อ่านจบแล้วก็อย่าลืมเข้าไปพูดคุย คอมเม้นท์ แสดงความเห็น และดูคลิปแนวทางการเล่นอีโร่ ROV ทุกตัว ได้ที่เฟสบุ๊คเพจ ROV Thailand Return กันด้วยนะครับ จะได้เข้าใจกันมากขึ้น และเห็นภาพได้ชัดเจนว่า ที่เขียนมานั้น เวลาเอาไปเล่นจริงๆ มันต้องนำไปใช้อย่างไร แล้วเมื่อคุณเข้าใจ ฝีมือในการเล่นของคุณก็จะดีขึ้นแน่นอนครับ
